( unpopular opinion: นี่รุ้สึกสังคมอินกับการคลั่งรักและพฤติกรรมแบบcouple ตามสื่อมากไปจนมองว่าการใช้ชีวิตแบบปกติไปด้วยกัน as a life companion มันคือการหมดรักไปละ 🥲 )
ตอนไปนอกเมืองของญี่ปุ่นครั้งแรกเข้าใจได้ทันทีเลยว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงสามารถสร้างโลกของจิบลิออกมา มันมีเซนส์ของความ spiritual, the creatures the gods, magic of the old world ปะปนอยู่กับความเป็นปัจจุบันอยู่จริง เป็นความรู้สึกที่โคตรมหัศจรรย์
ทุกคนไปอ่าน she who became the sun แล้วมาติ่งกับชั้นเดี๋ยวนี้ สนุกมากกกกกก อส!!!!!!!!! มันดีมาก โคตรเกย์โคตรแซฟฟิค!!!!!! ตัวเอกเป็นเด็กสาวที่เลือกเป็นชายเพื่อจะขโมยโชคชะตาของน้องชายที่ตายไปแล้วมาเป็นของตัวเอง พล็อตเริ่มมาแค่นี้ก็สุดละ
งานเขียน lovers to enemies มันดีตรงไหนรู้ปะ การสำรวจการเปลี่ยนผ่านทางความรู้สึกของการรักและเทิดทูนใครสักคนไปเป็นความเกลียดชัง การที่โลกที่เราเคยรักและใช้ชีวิตอยู่ค่อยๆ พังลงมา & turn upside down. that’s the delicacy of human nature *chef kiss*
tolkien be like elves are so unreal and wise and gentle and love their families and they laugh like the sound of jingling bell and the existence of the noldor contradicts all that
การที่เราถูกinput ข้อมูลว่าเราต้องคิดถึงคนรักของตัวเองตลอดเวลา ต้องเอาเขาเป็นemotional guidance และทั้งเขาและเราต้องทำให้กันและกันอยากที่จะemotional availableตลอดเวลา ไม่งั้นคือเราไม่มีค่าพอจะอยู่ในชีวิตกันและกันต่อไป all of these are crazy as heck imo 🥲
นี่รู้สึกว่าการถูกใครสักคนชอบมากเกินไปมันทำให้เขามีภาพไปเรื่อยบางอย่างเกี่ยวกับเราในแบบที่มันไม่ใช่ความจริง and you will never be seen bc they refuse to. and that hurts most (lol)
“Her name is Lulu…she is scared of the loud bombing just like us.”
The beautiful children of Gaza who risked their lives to save their cat from Israeli bombing
สังเกตุอย่างนึง เวลาถามผู้ชายว่า fictional character crush หรือ celebrity crush คือใคร มันก็จะเป็น Sydney Sweeney ไม่ก็ Zendaya ตัวละครฮ็อตๆแบบพวก Lara Croft อะไรพวกนี้แต่พอไปถามผู้หญิงคือ range กว้างมาก มีตั้งแต่ Adam Driver ไปจนถึงตั๊กแตนจาก A Bug's Life
the fact that galadriel is so fucking important and gracious and majestic and divine and grand and all but plays the part in the silmarillion like 2% while her hot cousins go apeshit is so fucking funny lol
Call me by your name มันไม่โรมานซ์อะ นี่มองเป็นcoming of age ซึ่งถ้ามองอีกด้านมันก็เห็นภาพของเด็กlgbtq+ ที่แม่งไม่สามารถพูดกับพ่อแม่ได้ เลยต้องexploreเพศสภาพเองแล้วถูกผู้ใหญ่ในสังคมexploit จากจุดอ่อนตรงนี้ ผ่านการอ้างว่าช่วยวัยรุ่นทำค.รู้จักตัวเอง(ปัญหาที่ในปัจจุบันก็ยังเกิดขึ้น)
ซีนที่ทำให้รู้ทันทีว่า prince oberyn คือตัวละครของเราคือซีนที่เขาอยู่ในซ่องกะเมียและโสเภณีชายถาม which way do you like it และเขาตอบ my way 5555555555 that’s it